วันเสาร์ที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2553

แฟชั่นลายเสือ




สายลมแห่งความหนาวเย็นเวียนมาเยือนกันอีกรอบ พร้อมๆ กับแฟชั่นของบรรดาเสือ สิงห์ ที่เคยแอบแฝงตัวอยู่กลางป่า

ปล่อย ให้สัญชาตญาณดิบ ของคุณได้ออกมาเพ่นพ่านผ่านแฟชั่นลายเสือ ไม่ต้องกลัวว่าจะทำให้ใครๆ เผ่นหายไปยามคุณเยื้องกรายเข้ามา เพียงเลือกลายเสือชิ้นเด่นเพียงตัวเดียวใส่คู่กับเสื้อผ้าชิ้นอื่นที่เป็นสี พื้นในโทนเข้ม ไม่ว่าจะเป็นสีดำ น้ำตาล ม่วงเมทัลลิก หรือน้ำเงินนาวี

แต่ถ้าเป็น แอ๊คเซสซอรี่ โดยเฉพาะ รองเท้า โทนสีทอง นั้นดูจะเหมาะสุด ส่วนสีดำนั้น ควรเก็บเข้ากรุไว้ก่อนถ้าไม่อยากดูเชย
แต่ สำหรับบางคนที่ไม่เน้นโทนสีทองนั้น อาจจะลองหาเสื้อกล้ามสีดำเก๋ ๆ หรือเสื้อเปิดไหล่ บวกกับกางเกงาขาสั้นสีโทนอ่อน แล้วแต่งเติมด้วยเครื่องประดับลายเสือ เช่น กำไลข้อมือ นาฬิกา ก็ดูดี เหมาะกับสาวที่ชอบลายเสือ แต่แอบความดุไว้ในตัว



แปลงโฉมแม่เสือสาวด้วยเทรนด์ " ซาฟารีสไตล์ "

อย่างตอนนี้บอกได้คำเดียวว่าเทรนด์ไหนก็ไม่แรงเท่าเสื้อผ้า "ซาฟารีสไตล์" ไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้าลายเสือ ลายม้าลาย ลายวัว หรือลายเสือดาว ... ที่ตอนนี้กำลังอินสุดๆ หยุดไม่อยู่เลยทีเดียว และถ้าสาวๆ ไม่กลัวว่าใครจะเรียกว่า "แม่เสือสาว" ล่ะก็ "ซาฟารีสไตล์" ถือ ว่า
เป็นตัวเลือกที่ ดีสำหรับสาวๆที่ชื่อชอบแฟชั่นและการแต่งตัวเลยทีเดียวล่ะค่ะ เพราะถ้าสาวๆคนไหนได้สวมใส่แล้วล่ะก็จากสาวหวานหรือสาวเรียบร้อยอาจจะกลาย เป็นสาวเปรี้ยวสุดเซ็กซี่มีเสน่ห์ไปเลยก็ได้นะคะ ...


ปี ที่ผ่านๆ มาสาวๆ อาจจะเห็นเสื้อผ้าเพียงลายเสือ ลายเสือดาวแต่หลังจากช่วงซัมเมอร์ที่ผ่านมา เสื้อผ้าแบรนด์ดังๆ หลายๆแบรนด์เค้าก็ต่างขนคอลเลคชั่นเสื้อผ้าลายซาฟารี ที่ทั้งลายเสือ งู ม้าลายซึ่งแต่ละลายก็มีสีสันคล้ายของจริงเอาซะมากๆ อีกด้วย

ส่วน ใหญ่แล้วเสื้อผ้ายลายซาฟารีนั้นจะดูโดดเด่นมากๆ ถ้าสาวๆเลือกจับคู่กับเสื้อผ้าสีกากีอ่อน หรือถ้าจะเลือกใส่ซาฟารีสไตล์ที่เป็นเดรสสั้นก็จะดูเปรี้ยวเก๋ไม่ใช่น้อยเลย ล่ะค่ะ แต่ถ้ากลัวจะโป๊จนเกิดไปอาจจะเลือกใส่กับเลกกิ้งก็ได้นะคะ


แต่ ถ้าสำหรับสาวๆ ที่ต้องการแต่งตัวซาฟารีสไตล์ไปออกงานที่เป็นทางการอาจจะไม่เหมาะนัก สาวๆ อาจจะเปลี่ยนเป็นการเลือกเครื่องประดับอย่าง ต่างหูสร้อย เข็มกลัด เข็มขัด แหวน กระเป๋า หรือรองเท้าให้อยู่ในเทรนด์ซาฟารีก็ได้นะคะ
และที่สำคัญก็ไม่จำเป็นจะต้องใส่หรือใช้เสื้อผ้าหรือเครื่องประดับแบบซาฟารีสไตล์ที่เป็นหนังแท้ ก็ได้ค่ะเพราะเดี๋ยวนี้หนังเทียมที่เค้าทำเลียนแบบแล้วมีคุณภาพดีก็มีเยอะ แยะไปค่ะแถมราคายังถูกกว่าหนังแท้หลายเท่าตัวเลยด้วยล่ะค่ะ

ส่วน แหล่งที่ช้อปปิ้งนั้นก็หายห่วงเลยค่ะ ไม่ว่าจะเป็นตลาดล่าง ตลาดกลางหรือตลาดบนประเภทแบรนด์หรู เค้าก็มีให้เลือกกันหลายแบบหลายสไตล์เลยทีเดียวแต่ทางที่ดีที่สุดพี่เหมี่ยว ว่าไม่จำเป็นจะต้องซื้อแบรนด์ที่แพงนักหรอกค่ะเพราะธรรมชาติของแฟชั่นนั้นมา ไวไปไว แป๊ปเดียวเดี๋ยวก็เบื่อแล้วเพราะฉะนั้นซื้อในราคาย่อมเยาวจะดีที่สุดค่ะเวลา เราเปลี่ยนสไตล์การแต่งตัวเราจะได้ไม่เสียดายยังไงล่ะคะ ^O^



ข้อควรระวัง : อยู่ที่การออกแบบหรือ รูปทรง เราควรเลือกที่จะเลือกชุดลายเสือแบบที่ดูน้อยชิ้น น้อยชิ้นที่ว่านี่ไม่ใช่น้อยแบบโป๊เหลือเกินแต่หมายความว่า ให้เลือกที่มีลายเสือแบบชิ้นเดียวโดดๆ เช่นเป็นชุดเดียวกันอย่างชุดแส็ก หรือชุดราตรียาว เครื่องประดับก้ไม่ควรเยอะจนเกินไปให้น้อยชิ้นที่สุดเท่าที่จะน้อยได้นะจ๊ะ แล้วที่คาดว่าปีนี้เสื้อลายเสือจะเป็นเทรนด์เสื้อผ้าแฟชั่นมาแรงก็ เป็นเพราะปีนี้การใส่ชุดลายสัตว์จะได้รับความนิยมอีกครั้งหนึ่งอย่างแน่นอน เพราะฉะนั้นปีนี้ใครที่ยังไม่มีชุดลายเสือใส่ก็รีบๆไปหากันมาใส่ได้แล้วนะ จ๊ะ
ไม่ว่าจะเป็นลายเสือดาว เสือโคร่ง หาใส่แล้วกลายร่างเป็นแม่เสือสาวกันได้แล้ว...^O^


กระแสลายเสือ




กระแสของแนวเพลงฮิพฮอพ (HIP HOP) มิได้เฉพาะเจาะจงว่าเป็นวัฒนธรรมของวัยรุ่นชายผิวสีจากฝั่งตะวันตก ที่นิยมแนวดนตรีสไตล์แร็พบวกกับการเต้นที่ลื่นไหล ด้วยพละกำลังที่แข็งแกร่งในแบบที่เรียกว่า B-Boy แต่เพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่วัฒนธรรมฮิพฮอพได้แพร่กระจายไปทั่วทุกมุมโลก จนเป็นกระแสแฟชั่นที่น่าจับตามอง ไม่แพ้แฟชั่นแนวป๊อป-ร็อก พังก์ หรือโมฮ็อก ที่เคยมาแรงในประเทศไทยครั้งแล้วครั้งเล่า

แฟชั่นฮิพฮอพ คือการแสดงออกของความเป็นปัจเจกชน ที่ถือเป็นความแปลกใหม่และท้าทายของวัยรุ่นไทย ดังจะเห็นได้จากการรวมตัวกันของหนุ่มสาวผู้ที่มีใจรักในวัฒนธรรมฮิพฮอพ ในงานโปรเจ็กต์ยักษ์แห่งปี Yaris Presents Asian Hip Hop Festival ที่เนรมิตลาน Outdoor Stage อิมแพ็ค เมืองทองธานี ให้กลายเป็นสตรีทแวร์หรือถนนสายแฟชั่น ที่ดูจะเป็นสีสันของวงการแฟชั่นไทยไม่น้อยเลยทีเดียว



สังเกตได้จากเหล่าสาวๆ แฟชั่นนิสต้าที่เล่นประชันกันแต่งตัวตามสไตล์ฮิพฮอพในแบบใครแบบมัน ทั้งเสื้อผ้าหน้าผมที่เซตมาเพื่องาน
นี้โดยเฉพาะ ซึ่งแฟชั่นแนวฮิพฮอพของทั้งชายและหญิงจะมีลักษณะที่คล้ายคลึงกัน นั่นคือการนำลวดลายกราฟิตี้ที่ตนเองออกแบบมาแล้วนำไปปักหลังเสื้อยีนส์ หรือเสื้อวอร์ม เพื่อแสดงถึงความเป็นแก๊งหรือกลุ่มก้อน แฟชั่นแนว Old School ในยุค 80's มีให้เห็นอย่างชัดเจน ทั้งรองเท้าผ้าใบลิ้นใหญ่หุ้มข้อ หรืออดิดาส รุ่นซูเปอร์สตาร์ ที่ยังคงนิยมมาจนถึงปัจจุบัน


สำหรับหญิงสาวจะเน้นเสื้อผ้าที่ฟิตมากๆ ส่วนมากจะเป็นผู้หญิงที่กล้าแต่งตัว กล้าเปิดเผยสัดส่วน โดยเฉพาะช่วงเอวที่แบนราบ หรือ
หลายคนจะนิยมชุดวอร์มที่มีแถบข้าง 3 แถบ สารพัดสี กับกางเกงขาสั้นกุด ดึงถุงเท้าสูง สร้อยคอหรือโซ่เส้นโตๆ ที่นิยมใส่ทีละหลายๆ เส้น แต่จะมีกลิ่นอายของการแต่งตัวแบบสปอร์เกิร์ลตี้ ใส่รองเท้าผ้าใบหุ้มข้อ หรือไม่ก็แต่งตัวเนี้ยบ หรู แต่ไม่เรียบ ด้วยรองเท้าหนังไปเลย ผู้ชายจะนิยมไว้ผมทรงสกินเฮด หรือ Afro มีหวีสับเสียบ มีผ้าขนหนูสีขาวโพกหัว ผู้หญิงจะเน้นทรงผมอะไรก็ได้ที่ดูแล้วเซ็กซี่ แต่ทรงผมยอดนิยมของทั้งสองเพศคือทรงถักเปียติดหนังหัว



แต่ที่น่าจับตามองเป็นพิเศษสำหรับการรวมตัวในครั้งนี้ คือสาวๆ ขาฮิพส่วนใหญ่ที่จะเน้นแอสเซสเซอรี่และเครื่องแต่งกายลายเสือดาว (Leopard) หรือลายจุด ทั้งเสื้อแจ็กเกต,กระโปรงสั้น (Mini Skirt) กางเกงขาสั้นกุด (Shot Pants) เสื้อยืดตัวโคร่งๆ พับแขน,เดรส,ชุดติดกัน (all in one) หรือแม้กระทั่งกระเป๋าสะพายที่เน้นลายเสือโดยเฉพาะ ซึ่งคงเป็นนิมิตหมายอันดีว่า กระแสแฟชั่น "ลายเสือดาว" กำลังจะกลับมาฮิตและอินเทรนด์อีกครั้งเป็นแน่

ลายเสือ




เมื่อพูดถึงเสือ สิ่งที่คนทั่วไปสนใจมากที่สุดก็คือลายของมัน เพราะมีรูปแบบและสีสวยงามโดดเด่นกว่าลายของสัตว์ชนิดอื่น จนเป็นสัญลักษณ์ของความเก่ง ความดี เช่น เรามีสำนวนว่าไว้ลาย หรือ ชาติเสือต้องไว้ลาย ซึ่งหมายถึงการรักษาความกล้าหาญหรือความสามารถอันเป็นลักษณะพิเศษของตนไว้ แต่บางครั้งลายเสือก็เป็นสัญลักษณ์ของความไม่ดีด้วย เช่น เราเรียกคนที่แสร้งทำความดีมานาน แล้วเริ่มแสดงความไม่ดีออกมาว่า ออกลาย เป็นต้น

ความสวยงามของลายเสือยังเป็นสิ่งล่อในให้คนล่าเสือเพื่อเอาหนังมาเป็นเครื่องประดับบ้านหรือทำเครื่องนุ่งห่ม เช่น หนังเสือโคร่ง หนังเสือดาวหรือแม้กระทั่งลายผ้าก็ยังนิยมเลียนแบบลายเสือ

เป็นที่น่าสงสัยว่าทำไมเสือแต่ละชนิดจึงมีลายขนแตกต่างกัน ไม่ว่าจะเป็นลายดอก ลายจุด ลายทางยาว หรือสีขนเรียบ ๆ ไร้ลวดลาย สาเหตุหนึ่งที่คิดกันว่าน่าจะมีอิทธิพลต่อความแตกต่างนี้ คือ สภาพแวดล้อมที่เสืออาศัยอยู่ เพราะเสือจะใช้ลายสีขนปกปิดตัวมันจากศัตรูหรือพรางตัวไม่ให้เหยื่อเห็น เช่น สิงโตมีสีน้ำตาลปนเหลืองกลมกลืนกับทุ่งหญ้าสีทองในแอฟริกา เสือไฟและแมวป่าชอบหากินตามทุ่งหญ้าเตียน ๆ จึงไม่มีลายซึ่งก็เข้ากับสีดินทรายหรือหญ้าแห้งกลางทุ่งแจ้ง ลายขวางลำตัวอย่างเสือโคร่ง ช่วยซ่อนมันไว้อย่างมิดชิดในเส้นสายของป่าหญ้าและพงอ้อ เสือจากัวร์ เสือดาว และเสือลายเมฆ ใช้ลายดอกดวงพรางตัวในแดดรำไรใต้ร่มไม้ที่มันชอบนอนพักผ่อนหรือแอบคอยเหยื่อ เป็นต้น

อย่างไรก็ตาม หากพิจารณากันให้ละเอียดลึกซึ้ง คำอธิบายนี้ก็อาจง่ายเกินไป ทั้งนี้เพราะเราพบว่าเสือดาว เสือชีต้า และสิงโต อาศัยอยู่ร่วมกันในทุ่งหญ้า ป่าทุ่งหรือป่าสะวันนา ( Savanna) และป่าโปร่งของแอฟริกา เสือดาวและเสือโคร่งยังพบอาศัยในป่าดิบและป่ากกป่าหญ้าของอินเดีย ( คาดว่าในสมัยก่อนมีสิงโตและเสือชีต้าด้วย ) ดังนั้น ถ้าใช้เหตุผลข้างต้นอธิบาย ก็อาจกล่าวได้ว่าลายดอกของเสือดาวหรือที่คนไทยเรียกลายขยุ้มตีนหมา เป็นลายที่มีประสิทธิภาพมาก เพราะสามารพรางตัวในสภาพแวดล้อม แต่หากเป็นเช่นนี้จริงทำไมจึงเกิดลายจุดหรือลายพาดกลอนที่มีประสิทธิภาพการพรางตัวทัดเทียมกัยด้วย ทำไมจึงต้องมีความแตกต่าง ในเมื่อวิธีการอันมีประสิทธิภาพเพียงวิธีเดียวก็น่าจะเพียงพอแล้ว

George B. Schaller ให้คำตอบว่า ความแตกต่างนี้ก็เพื่อเป็นเอกลักษณ์ของเสือแต่ละชนิด เขาเสนอให้เราลองคิดถึงสภาพในธรรมชาติว่า เสือดาวตัวหนึ่งจะรู้ได้อย่างไรว่าเสืออีกตัวที่เห็นอยู่ไกล ๆ นั้นเป็นเสือดาวพวกเดียวกันไม่ใช่เสือโคร่ง นอกจากนี้ ในพื้นที่ซึ่งมีเสือหลายชนิดลายที่ต่างกันจะป้องกันการเผชิญหน้าและการผสมข้ามสายพันธุ์ เช่น บางพื้นที่ในประเทศอินเดียซึ่งมีทั้งสิงโต เสือโคร่ง เสือดาว และเสือชีต้าอาศัยอยู่ร่วมกัน

หลักฐานข้างเคียงที่สนับสนุนความคิดเรื่องลายเสือทำหน้าที่บอกความแตกต่างของชนิดเสือก็คือ เสือที่มีขนหรือลวดลายคล้ายกัน ไม่เคยอาศัยในถิ่นภูมิภาคเดียวกันเลย เช่น สิงโตกับสิงโตภูเขาที่มีขนคล้ายกันมาก แต่สิงโตอาศัยอยู่ในอยู่ในทวีปแอฟริกาและประเทศอินเดีย ขณะที่สิงโตอาศัยภูเขาอยู่ในทวีปอเมริกาเท่านั้น เสือดาวกับเสือจากัวร์มีลายขยุ้มตีนหมาคล้ายกันมาก เสือดาวอยู่ในทวีปแอฟริกาและเอเซีย ส่วนเสือจากัวร์มีถิ่นอาศัยในบริเวณอเมริกากลางและทวีปอเมริกาใต้ เป็นต้น เสือที่มีลายคล้ายกันเหล่านี้ ไม่มีโอกาสพบกันในสภาพธรรมชาติเลย


แม้ว่าลักษณะลายโดยรวมของเสือแต่ละชนิดจะแตกต่างกัน แต่หากพิจารณากันอย่างละเอียดก็พบลํกษณะปลีกย่อยที่คล้ายคลึงกันอยู่บ้าง เช่น เสือขนาดใหญ่มักมีหย่อมขนหรือแถบขนสีขาวปรากฏ ณ ตำแหน่งที่น่าสนใจบางแห่งอาทิ เสือโคร่งมีหย่อมขนสีขาวตรงหลังใบหู ซึ่งสามารถเห็นได้ชัดในที่สลัวหรือแสงน้อย Schaller คิดว่าลูกเสือใช้หย่อมขนสีขาวเป็นจุดสังเกตมองแม่เสือขณะเดินตามหลังแม่ไปยังที่ต่างๆ

เสือดาวและเสือดาวหิมะ มีแถบขนสีขาวที่ใต้หาง ส่วนเสือชีต้ามีกระจุกสีขาวหรือวงแหวนสีดำสลับขาวที่ปลายหาง เสือทั้งสามชนิดมักยกหางหรือม้วนปลายหางขึ้นขณะเดิน เพื่อให้ขนสีขาวเป็นจุดสังเกตสำหรับลูกเสือที่กำลังเดินตามหลังมา

นอกจากความงามของลายเสือและสีขนปกติแล้ว ลักษณะขนอีกประเภทหนึ่งที่คนมักให้ความสนใจเป็นพิเศษคือ การเกิดขนสีดำตลอดทั้งตัว เช่น เสือดำหรือเสือดาวดำ เสือจากัวร์ และเสือขนาดเล็กบางชนิด

ในสมัยก่อน คนเชื่อว่าเสือดำกับเสือดาวเป็นเสือต่างชนิด เพราะสีขนแตกต่างกัน ต่อมาจึงพบว่าเสือ

เสือที่มีขนลวดลายปกติ อาศัยในพื้นที่เดียวกันและผสมพันธุ์กันได้ บางครั้งให้กำเนิดลูกเสือซึ่งมีขนทั้ง 2 ลักษณะในครอกเดียวกันอีกด้วยการพบข้อเท็จจริงนี้จึงเป็นหลักฐานยืนยันว่า เสือสีดำตลอดทั้งตัวกับลายขนปกติ เช่น เสือดำกับเสือดาว หรือเสือจากัวร์ดำกับเสือจากัวร์ธรรมดาแท้จริงแล้วก็เป็นเสือชนิดเดียวกันนั่นเอง

อย่างไรก็ตาม ยังมีข้อสงสัยอีกว่าขนสีดำซึ่งผิดแผกไปจากลักษณะปกตินี้เกิดขึ้นได้อย่างไร ปัจจุบันนักวิทยาศาสตร์พบว่าลักษณะต่างๆของสิ่งมีวิตถูกกำหนดจากสารพันธุ กรรมที่เรียกว่ายีน (Gene) ซึ่งอยู่ในเซลล์ทุกเซลล์ของสิ่งมีชีวิตโดยทุก เซลล์มียีนจำนวนมากมายมหาศาลของสิ่งมีชีวิต และยีนยีนแต่ละตัวก็ทำหน้าที่กำหนดลักษณะปลีกย่อยต่างๆกัน ซึ่งปรากฏเป็นภาพรวมของลักษณะที่เราสังเกตเห็น เช่น ลายเสือที่สวยงามสะดุดตานั้นเกิดจากการแสดงออกร่วมกันของลักษณะปลีกย่อยหลายอย่าง เช่น รูปแบบของลาย สี ความเข้ม ของสี เป็นต้น ลักษณะปลีกย่อยเหล่านี้ถูกควบคุมจากยีนต่างชนิดกัน ปัจจุบัน คาดว่ามียีนอยู่ไม่น้อยกว่า 8 ชนิดที่ควบคุมให้เกิดลายเสือขึ้น เช่นยีนที่ควบคุมให้เกิดขนลายขวาง ยีนขนลายจุดยีนขนลายประ เป็นต้น

โดยปกติธรรมชาติแล้ว ยีนทำงานร่วมกันเป็นคู่และยีนบางชนิดมีอิทธิพลควบคุมลักษณะเหนือกว่ายีนบางชนิด หากยีนคู่นี้อยู่ด้วยกัน ลักษณะของสิ่งมีชีวิตจะถูกกำหนดจากยีนที่เหนือกว่า เราเรียกยีนที่เหนือกว่าว่า ยีนลักษณะเด่น และเรียกยีนที่ด้อยกว่าว่า ยีนลักษณะด้อย ซึ่งจะแสดงลักษณะได้ก็ต่อเมื่อยีนลักษณะด้อยมาจับคู่ทำงานร่วมกันเท่านั้น เช่น ยีนขนลายขวางเป็นยีนลักษณะเด่น เสือที่มียีนชนิดนี้จะมีขนลายขวาง ส่วนยีนขนลายจุดเป็นยีนลักษณะด้อย จับคู่กับยีนขนลายจุดด้วยกันจึงจะทำให้เสือตัวนั้นมีลายจุด แต่ถ้ายีนขนลายขวางจับคู่ขนลายจุด ผลจากการทำงานร่วมกันก็เกิดตามลักษณะเด่น คือมีขนลายขวาง โดยไม่แสดงลายจุด อันเป็นลักษณะด้อยให้เห็น เสือแต่ละชนิดจึงมียีนควบคุมการเกิดลายนี้ต่างกัน

สำหรับการเกิดสีขน สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมเกือบทุกชนิดมีเม็ดสี (pigments) 2 ชนิดที่เป็นตัวให้สีคือ เม็ดสียูเมลานิน ( Eumelanin ) และเม็ดสีฟีโอเมลานิน ( P haeomelanin ) เม็ดสียูเมลานินให้สีดำหรือสีน้ำตาล ส่วนเม็ดสีฟีโอเมลานินให้สีเหลืองหรือแดง สีขนที่เราเห็นเกิดจากการจัดเรียงตัวผสมผสานของเม็ดสีทั้ง 2 ชนิดนี้ เช่นสีขนแบบหนึ่งที่เกิดกับเสือ คือมีปลายขนสีเหลือง (เกิดจากเม็ดสียูเมลานิน ) เป็นต้นน สีขนแบบนี้เรียกว่า อากูติ ( Aguti series) ซึ่งเกิดจากการควบคุมของยีนชนิดหนึ่งนั่นเอง

ในกรณีของการเกิดขนสีดำตลอดทั้งตัวอาจเกิดจากยีนที่ให้เพียงเม็ดสียูเมลานินหรือสีดำ แต่ขาดเม็ดสีสีเหลือง จึงทำให้เป็นขนสีดำทั้งเส้น ยีนชนิดนี้เป็นยีนลักษณะด้อยเมื่อจับคู่กันกับยีนอากูติ

ทุกวันนี้ยังไม่มีใครทราบแน่ชัดถึงกลไกทางพันธุ์กรรมของการเกิดขนสีดำในเสือดำและเสือจากัวร์ แต่คาดว่าเป็นผลจาการการทำงานร่วมกันของยีนหลายชนิด อย่างไรก็ตาม เสือดำที่เราคิดว่ามีสีดำสนิทตลอดทั้งตัวนั้น หากสังเกตให้ดีจะพบลายดอกปรากฎอยู่รางๆด้วย

นอกจากจะมีโอกาสเป็นเสือดำแล้ว เสือยังมีโอกาสเป็น “ เสือซีด” และ”เสือเผือก” อีกด้วยเคยมีรายงานการพบเสือจากัวร์เผือก เสือดาวเผือกและเสือสีซีดหลายชนิด สาเหตุของการเกิดสีซีดหรือเผือกก็มาจากยีนอีกด้วยเช่นเคย

ยีนควบคุมวามเข้มข้นของสีและทำให้เกิดสีซีดเรียกว่า ไดลูซั่น ( Dilution series ) ซึ่งเป็นยีนลักษณะด้อยเมื่อเทียบกับยีนให้สีเข้มปกติ เสือตัวใดมียีนไดลูชั่นจับคู่ทำงานร่วมกันจะเกิดสีซีดขึ้น เช่น ขนสีดำกลายเป็นสีเทาอมฟ้า ขนสีเหลืองกลายเป็นสีครีม เป็นต้น

สำหรับลักษณะเผือก (Albino) เป็นผลจากยีนลักษณะด้อยซึ่งเกิดจากการผ่าเหล่า (mutation ทำให้ขนไม่มีเม็ดสีอยู่เลย เสือที่มียีนเผือกทั้งคู่เท่านั้นจึงเกิดลักษณะเผือกแท้จริง คือมีตาสีชมพูกับขนสีขาวทั้งตัว สำหรับเสือโคร่งที่มักเรียกว่าเสือโคร่งเผือก แต่มีลายพาดกลอนสีครีมหรือน้ำตาลอ่อนบนขนตัวขาว และตาสีฟ้า ไม่ใช่ลักษณะเผือกแท้จริง แต่เกิดจากยีนลักษณะด้อยอีกตัวหนึ่งซึ่งทำให้ขนขาดสีดำและมีสีเหลืองน้อยลง ที่ผ่านมาเคยมีรายงานการพบเสือโคร่งเผือก เสือดาวเผือก และสิงโตภูเขาเผือกแท้จริงเพียงชนิดละตัวเท่านั้น

การเกิดเม็ดสี นอกจากจะถูกควบคุมจากยีน ยังพบว่าอุณหภูมิของร่างกายก็มีส่วนด้วยโดยเม็ดสีจะมากขึ้นในบริเวณที่มีอุณหภูมิต่ำ เช่น ใบหู ขา หาง และจมูก ตามร่างกายส่วนต่างๆนี้จึงมักมีสีเข้มกว่าบริเวณอื่น ตัวอย่างที่เห็นได้ชัด คือ แมววิเชียรมาศ หรือที่ฝรั่งเรียกว่า Siamese cat เป็นแมวไทยตาสีฟ้าและมีแต้มสีน้ำตาลเข้มอยู่ 9 แห่งตามร่างกาย คือ หูทั้ง 2 เท้า 4 หาง 1 จมูก 1 และอวัยวะเพศอีก 1 อย่างไรก็ตาม ตาสีฟ้าของแมววิเชียรมาศไม่ได้เกิดจากเม็ดสีฟ้า ทว่าเกิดจากอนุภาคโปรตีนในม่านตาซึ่งมีขนาดเล็กมาก จนทำให้มันสะท้อนแต่คลื่นแสงสีฟ้าซึ่งมีความยาวคลื่นสั้นออกมาและดูดกลืนคลื่นแสงสีอื่นไว้หมด ตาของแมววิเชียรมาศจึงเป็นสีฟ้าราวกับสีของท้องฟ้า เนื่องจากสีฟ้าบนท้องฟ้าก็เกิดขึ้นในทำนองเดียวกัน คือ เกิดจากการสะท้อนคลื่นแสงของอนุภาคเล็ก ๆ ในชั้นบรรยากาศ